สวัสดีครับ หมอขออนุญาตเริ่มจากการแนะนำตัวเองก่อนนะครับ หมอชื่อ ธัญวัจน์ ศาสนเกียรติกุล เป็นศัลยแพทย์ หรือเรียกง่ายๆว่าหมอผ่าตัดครับ โดยปัจจุบันคือ แพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดต่อมไร้ท่อ (ไทรอยด์และพาราไทรอยด์) รวมถึงจบเฉพาะทางอีกสาขาคือ แพทยผ่าตัดศีรษะ คอ เต้านมครับ แต่ว่าปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่า 99% ดูแลคนไข้เฉพาะผ่าตัดไทรอยด์และพาราไทรอยด์เท่านั้นครับ ผ่าตัดอย่างอื่นไม่ได้ดูแล้ว เพราะให้คุณหมอท่านอื่นที่เค้าเชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละสาขานั้น ๆดูแลไปครับ ซึ่งหมอต้องขอเล่าก่อนว่าในสมัยก่อน อาจารย์แพทย์ที่อยู่แผนกศัลยกรรมจะสามารถผ่าตัดได้เยอะมาก ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยนะครับ แต่ว่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านไป ก็เริ่มมีการแยกสาขาเฉพาะทางการผ่าตัดแต่ละแผนกมากขึ้น ซึ่งข้อดีก็คือทำให้ศัลยแพทย์แต่ละสาขา ทำการผ่าตัดเฉพาะสาขาที่ตัวเองชำนาญไปเลยครับ ไม่ต้องชำนาญการผ่าตัดหลายอย่างเหมือนสมัยก่อน เพราะฉะนั้นคุณหมอแต่ละสาขาก็จะได้รักษาคนไข้เฉพาะโรคนั้น ๆ ทำให้มีประสบการณ์ในการได้ผ่าเฉพาะโรคมากกว่าสมัยก่อน แต่ข้อเสียก็คือ หมอท่าน ๆนึงก็จะไม่ได้ชำนาญการผ่าตัดหลากหลายเหมือนสมัยก่อน ๆแล้ว อย่างเช่น ถ้าให้หมอยกตัวอย่างของหมอเอง ตอนนี้หมอก็ยอมรับตรง ๆแล้วว่าถ้าให้หมอไปผ่าตัดอวัยวะอื่น ๆเช่น ผ่าตัดตับ ผ่าตัดลำไส้ หมอไม่มีความมั่นใจเพียงพอแล้วครับว่าจะทำการรักษาได้ดีเท่าคุณหมอเฉพาะทางการผ่าตัดโรคนั้น ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องการผ่าตัดไทรอยด์และพาราไทรอยด์ ซึ่งหมอผ่าตัดทุกวัน ก็พูดได้เต็มปากว่ามีความมั่นใจและชำนาญการผ่าตัดนี้จริง ๆครับ

หลังจากที่หมอได้เรียนจบเฉพาะทางการผ่าตัดไทรอยด์มา ก็มาเจอเรื่องที่จะเรียกว่าไม่ได้บังเอิญหรอกครับ คืออย่างนี้ครับ ตอนนี้ตาของหมอมันเป็นอัตโนมัติไปในทันทีเลยว่า คนไข้ หรือคนที่พบเจอกันทุกคน หมอต้องหนีไม่พ้นเลยที่จะต้องเหลือบไปมองไทรอยด์ของคนนั้น ๆครับ เพราะมันเคยชินมั้ง ทีนี้ก็แจคพอตแตกเลยก็คือ คุณภรรยาคอโต คุณแม่ก็คอโต เลยส่งทั้งสองคนไปตรวจเลือดไทรอยด์ และอัลตราซาวด์คอตามขั้นตอน ก็พบเลยว่าคุณภรรยามีก้อนเนื้องอกไทรอยด์ขนาดใหญ่ 3 เซนติเมตรที่ไทรอยด์ข้างขวา แต่หน้าตาอัลตราซาวด์ออกมากลาง ๆ ไม่ได้ดี ไม่ได้แย่ ผลเจาะชิ้นเนื้อก็ได้ผลดี แต่ก้อนโตขึ้นเรื่อย ๆมาตลอด เมื่อก่อนคอเล็กกว่านี้มาก คุณภรรยาเลยตัดสินใจผ่าตัดไทรอยด์ข้างขวาออกด้วยวิธีส่องกล้องทางช่องปาก หลังผ่าตัดสบายดี เสียงดี ไม่มีเสียงแหบ ไม่ต้องทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ เพราะว่าตัดออกไปเพียงแค่ครึ่งเดียว ซึ่งร่างกายของคนเรามหัศจรรย์มาก ๆครับ ข้างซ้ายที่เหลือไว้สามารถทำงานทดแทนไทรอยด์อีกข้างได้ปกติ โดยคุณภรรยาก็สามารถตั้งครรภ์ได้เหมือนคนอื่น ๆทั่วไปเลยครับ แต่เรื่องที่เรียกได้ว่าน่าตกใจมากในชีวิตหมอก็คือเรื่องของคุณแม่หมอเอง โดยหมอจำได้ดีว่าวันนั้นนั่งทานข้าวตรงข้ามคุณแม่ แล้วหมอรู้สึกว่าคอแกข้างขวาโตกว่าข้างซ้ายนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆครับ เลยส่งแกไปทำอัลตราซาวด์คอ ปรากฏคุณหมอเอ็กซเรย์รายงานผลมาว่า คุณแม่มีก้อนเนื้องอกไทรอยด์ขนาด 9 มิลลิเมตรที่ไทรอยด์ข้างขวา ที่แย่กว่านั้นคือก้อนเนื้องอกคุณแม่เป็นก้อนสีดำ ขอบไม่เรียบ และมีแคลเซียมขนาดเล็กมาสะสมในก้อน ทำให้คุณหมอเอ็กซเรย์ให้คะแนนก้อนนี้คือ TIRADS 5 หรือระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุด และเสี่ยงเป็นมะเร็งไทรอยด์มากที่สุด หลังจากทราบผล หมอก็ไม่ได้ทำตามขั้นตอนคือการเจาะชิ้นเนื้อ เพราะจากประสบการณ์โดยตรง หมอดูหน้าตาก้อนแล้ว เป็นมะเร็งแน่ ๆ จึงได้ทำการผ่าตัดไทรอยด์ข้างขวาให้คุณแม่ด้วยตัวหมอเอง โดยหมอเลือกตัดไทรอยด์เพียงข้างเดียว เพราะก้อนไทรอยด์คุณแม่ขนาดเล็ก ซึ่งระหว่างผ่าตัดได้พบว่าก้อนมะเร็งคุณแม่กำลังจะลุกลามไปกินหลอดลมของคุณแม่ โดยมาถามคุณแม่ทีหลัง คุณแม่หมอบอกว่ามีอาการไอเรื้อรัง ไอแห้ง ๆมานานมาก หาสาเหตุไม่พบ เราเลยมาทราบว่าเกิดจากมะเร็งไทรอยด์นี้ที่กำลังจะไปกินหลอดลมคุณแม่นั่นเอง ซึ่งถ้าคุณแม่ไม่ได้รีบเข้ารับการผ่าตัดวันนั้น สิ่งที่จะตามมาแน่ ๆคือ หมอต้องเจาะคอคุณแม่ และทำให้คุณแม่ไม่สามารถพูดหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติเลย ซึ่งคุณแม่หมอเป็นคนที่ชอบไปเข้าสังคม สังสรรค์ เต้นรำ เต้นลีลาศ ร้องเพลงมาก ๆ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้น คุณแม่มาบอกหมอทีหลังเลยว่าถ้าต้องเจาะคอแล้วออกไปเที่ยวไปร้องเพลงไม่ได้ คุณแม่ขอไม่มีชีวิตอยู่ดีกว่า เพราะอยู่ไปก็ไม่มีความสุข สรุปเรื่องนี้หมอก็ผ่าตัดคุณแม่ออกมาได้ทันเวลา ไม่ต้องเจาะคอ เสียงไม่แหบ ไม่ต้องทานยาฮอร์โมนตลอดชีวิต ไม่ต้องกลืนแร่ โดยผลชิ้นเนื้อออกมาเป็นมะเร็งไทรอยด์ชื่อว่า พาพิลลารี่ (Papillary thyroid cancer) ขนาดเล็ก 9 มิลลิเมตรครับ ปัจจุบันนี้คุณแม่ก็ได้รับการผ่าตัดมะเร็งไทรอยด์มาหลายปีแล้ว และโรคก็สงบดี ไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำ คุณแม่สบายดี สามารถออกไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนทุกวันได้ตามปกติครับ

หมอก็เกริ่นและเล่าเรื่องชีวิตหมอมาเยอะ มาเข้าสู่วิชาการกันดีกว่าครับ โดยหมอจะเริ่มตั้งแต่พื้นฐานความรู้เรื่องไทรอยด์เลยละกันนะครับ ซึ่งต่อมไทรอยด์คือต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย โดยต่อมนี้จะวางตัวอยู่กลางคอ ใต้ลูกกระเดือก เป็นรูปผีเสื้อนะครับ หน้าที่ของต่อมไทรอยด์มีอย่างเดียวก็คือ ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้มีหน้าที่สำคัญต่อชีวิตเรามาก ๆครับ การทำงานของเค้าจะช่วยในการควบคุมการเผาผลาญให้พลังงานของทุกเซลล์ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างปกติ โดยร่างกายคนเราจะขาดฮอร์โมนนี้ไปไม่ได้เลยครับ ทีนี้หลังจากที่เรารู้จักต่อมไทรอยด์ของเราแล้ว ก็มาทราบถึงโรคไทรอยด์แต่ละชนิดกันครับ ซึ่งแบ่งออกได้เป็นสามโรคหลัก ๆคือ

  1. โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) โดยโรคนี้มักเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานบกพร่อง ทำให้ร่างกายมีการกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ และจะปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาในเลือดได้มากกว่าปกติ โดยเราจะตรวจวัดได้จากผลเลือดที่มีค่า Free T3 และ Free T4 สูง และจะมีค่า TSH ที่ต่ำ ทำให้คนไข้มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลดลงผิดปกติ ตาโปน คอโต โดยการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ เราจะเริ่มจากการให้คนไข้ทานยาต้านฮอร์โมนไทรอยด์ก่อน ซึ่งเราจะให้ยารักษาคนไข้โดยมีการตั้งเงื่อนไขไว้ว่าจะต้องหย่าขาดจากยาได้ภายใน 2 ปี เพราะการทานยาต้านไทรอยด์เป็นระยะเวลายาวนานเกินไป จะส่งผลต่อเม็ดเลือด และการทำงานของตับคนไข้ ซึ่งถ้าคนไข้ไม่สามารถหยุดยาได้ภายในเวลาสองปี หรือว่าหยุดยาแล้วกลับมาเป็นใหม่ หรือตาโปนมาก คอโตมาก กดเบียดการหายใจ หรือมีอาการแพ้ยา เราก็จะพิจารณาไม่รักษาด้วยการทานยา โดยยังเหลือทางเลือกอีกสองทางคือ การกลืนแร่รักษา และการผ่าตัด ซึ่งคำถามที่หมอพบบ่อยมากคือ เราจะเลือกการรักษาแบบไหนดีที่เหมาะสมกับตัวเรา สำหรับการกลืนแร่รักษา ข้อดีของเค้าก็คือ ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บแผลผ่าตัด ไม่ต้องเสี่ยงภาวะเสียงแหบหรือภาวะแคลเซียมต่ำ แต่ก็มีข้อเสียคือ กลืนแร่แล้วอาจจะมีอาการกลับมาเป็นใหม่ได้อีก เพราะต่อมไทรอยด์ยังอยู่ในคอ หรือในคนไข้ที่ไม่สามารถกลืนแร่ที่ตาโปนมาก เพราะจะทำให้ตาโปนมากขึ้น และถ้าไทรอยด์ของคนไข้ขนาดใหญ่กว่า 80 กรัม เราก็จะไม่แนะนำให้กลืนแร่ เพราะกลืนแร่แล้วก็ไม่หายอยู่ดี หรือในคนไข้ที่วางแผนการตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ก็ไม่แนะนำเพราะแร่รังสีมีผลต่อเด็กในครรภ์ รวมถึงกลุ่มคนไข้ที่มีความกังวลต่อแร่รังสี ว่าจะไปส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆในร่างกายหรือไม่ แม้จะได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัยก็ตาม ซึ่งในคนไข้กลุ่มนี้ก็จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการผ่าตัดไทรอยด์แทน โดยการผ่าตัดนั้นข้อเสียก็คือ จะเจ็บแผลผ่าตัดไม่มากก็น้อย หลังผ่าต้องทานแคลเซียมทดแทนการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์ชั่วขณะหนึ่ง และมีความเสี่ยงต่อการเสียงแหบได้ แต่การผ่าตัดก็มีข้อดีที่ชัดเจนอยู่หลายอย่าง คือ เป็นการรักษาที่โอกาสหายขาดจากโรคไทรอยด์เป็นพิษ 99% ด้วยการตัดไทรอยด์ออกทั้งสองข้าง รวมถึงการผ่าตัดก็จะทำให้คอเล็กลงโดยที่ปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาด้วยการส่องกล้องทางช่องปาก ทำให้ไม่มีแผลเป็นที่คอ รวมถึงการผ่าตัดถ้าทำโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการผ่าตัดไทรอยด์ ก็จะช่วยลดโอกาสเสียงแหบลงเหลือเพียง 1-2% เท่านั้น รวมถึงกลุ่มคนไข้ที่อยากตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีเด็กเล็ก ก็สามารถดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องเว้นช่วงเวลา เพราะฉะนั้นการรักษาไทรอยด์เป็นพิษก็จะมีทางเลือกหลายทาง ขึ้นกับว่าคนไข้อยู่ในภาวะไหน โดยทางแพทย์และคนไข้ควรปรึกษาอาการเจ็บป่วยร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปและผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีที่สุดนั่นเองครับ
  2. โรคพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) หรือเราจะเรียกอีกอย่างว่าโรคไทรอยด์แบบอ้วน เพราะคนไข้ส่วนใหญ่จะมาด้วยอาการ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง น้ำหนักขึ้นง่าย ผิวไม่ดี เชื่องช้า ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า โดยในโรคนี้ส่วนมากจะเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เกิดการอักเสบเรื้อรังของต่อมไทรอยด์ จากการโดนทำลายด้วยร่างกายของเราอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ของต่อมไทรอยด์เสื่อมสภาพไป จนสุดท้ายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาได้อย่างเพียงพอ ซึ่งโรคที่พบบ่อยที่สุดของคนไข้กลุ่มนี้คือ โรคฮาชิโมโต้ (Hashimoto’s thyroiditis) นั่นเอง โดยการตรวจก็สามารถทำได้โดยง่ายคือการเจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมน โดยการแสดงผลเลือดที่ผิดปกติคือ ค่า Free T3 กับ Free T4 ต่ำกว่าปกติ และค่า TSH สูงกว่าปกติ สำหรับการรักษาในคนไข้กลุ่มนี้ ส่วนมากก็คือการให้ยาฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนทานไปตลอด และคอยอัลตราซาวด์คอ เฝ้าระวังการเกิดมะเร็งไทรอยด์นั่นเอง ซึ่งการผ่าตัดเราจะทำในกรณีของคนไข้ที่ คอโตมาก กดเบียดการหายใจและการกลืน รวมถึงกลุ่มคนไข้ที่อัลตราซาวด์แล้วพบเนื้องอกที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งไทรอยด์ครับ
  3. โรคเนื้องอกไทรอยด์ และมะเร็งไทรอยด์ สำหรับคนไข้ในกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคนไข้กลุ่มที่พบมากที่สุดของโรคไทรอยด์ ซึ่งความสำคัญที่สุดของการรักษาคนไข้ในกลุ่มนี้ก็คือ การเฝ้าระวังและพยายามวินิจฉัยแยกโรคมะเร็งไทรอยด์ให้ได้เร็วที่สุด คนไข้จะได้เข้ารับการรักษามะเร็งอย่างทันท่วงที ข้อสังเกตในคนไข้กลุ่มนี้ทำได้ยากกว่าโรคไทรอยด์ต่ำ และไทรอยด์เป็นพิษ เพราะคนไข้ส่วนมากจะไม่มีอาการอะไร นอกจากมีคนทักว่าคอโตผิดปกติ คลำก้อนที่คอได้เองตอนอาบน้ำหรือทาครีม หรือไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้วพบว่ามีเนื้องอกไทรอยด์ การที่โรคเหล่านี้ไม่ได้แสดงอาการเพราะว่าถ้าเราตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด จะพบว่าส่วนมากคนไข้จะมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในระดับปกตินั่นเอง แต่ถ้าเราได้รับการตรวจอัลตราซาวด์ไทรอยด์ ก็จะพบว่ามีเนื้องอกแอบซ่อนอยู่ในลำคอ โดยถ้าเราปล่อยให้ตัวโรคดำเนินมาจนมีอาการ กลืนติดกลืนลำบาก แสดงว่าเนื้องอกต้องมีขนาดใหญ่มากแล้วจนไปกดหลอดลมและหลอดอาหาร หรือถ้าคนไข้มาด้วยอาการเสียงแหบ หรือคลำได้ต่อมน้ำเหลืองที่ข้าง ๆลำคอโต ก็อาจจะเกิดจากมะเร็งไทรอยด์ได้ลุกลามไปยังเส้นประสาทเสียงแล้ว หรือแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างลำคอแล้วนั่นเอง โดยการตรวจพื้นฐานสำหรับคนไข้กลุ่มนี้ เราจะทำด้วยกันทั้งหมด 3 อย่าง คือ การตรวจวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด ซึ่งส่วนมากจะปกติ, การทำอัลตราซาวด์ไทรอยด์ จะสามารถบอกได้คร่าว ๆว่าก้อนหน้าตาดีหรือไม่ดี สงสัยมะเร็งมากหรือน้อย, และการเจาะชิ้นเนื้อที่ก้อนเนื้อไปตรวจ (FNA) ซึ่งการตรวจ FNA จะสามารถแปลผลออกมาได้ตามระบบ Bethesda system ตั้งแต่ ระดับที่ 1-6 นั่นเอง (โดยระดับที่ 6 แปลผลว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์) สำหรับการรักษาในคนไข้กลุ่มนี้หมอจะสรุปออกมาคือ ในกรณีที่อัลตราซาวด์แล้วสงสัยมะเร็งไทรอยด์ หรือเจาะชิ้นเนื้อออกมาแล้วสงสัยมะเร็งไทรอยด์ เราจะแนะนำให้คนไข้เข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน โดยกรณีที่จะรักษามะเร็งไทรอยด์ให้โรคสงบ เราจะต้องทำการผ่าตัดตัวมะเร็งไทรอยด์ออกทั้งหมด รวมถึงเลาะต่อมน้ำเหลืองที่มีการแพร่กระจายไป และทำการกลืนแร่รักษาหลังการผ่าตัดในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ สำหรับกลุ่มคนไข้ที่ผลออกมาสงสัยมะเร็งต่ำ หรือไม่ได้เป็นมะเร็ง เราจะสามารถเลือกเข้ารับการรักษาได้หลายวิธีเช่น ตรวจติดตามด้วยอัลตราซาวด์ทุก 1 ปี, ทำลายก้อนให้ยุบลงด้วยคลื่นไมโครเวฟ หรือการผ่าตัดก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

การทำหัตถการไทรอยด์

    • การผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิด เป็นการผ่าตัดรักษาโรคไทรอยด์ด้วยการลงแผลที่กลางลำคอ ซึ่งขนาดแผลนั้นจะขึ้นกับขนาดของโรคไทรอยด์เป็นหลัก ถ้าต่อมไทรอยด์เล็ก เนื้องอกเล็ก แผลก็จะเล็ก แต่ถ้าต่อมไทรอยด์ใหญ่ หรือต่อมไทรอยด์ยื่นลงไปในช่องอก การผ่าตัดแผลก็จะใหญ่ขึ้น หรืออาจจำเป็นต้องผ่าตัดเปิดช่องอกเพื่อเอาต่อมไทรอยด์ออกมานั่นเอง สำหรับการผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิดเป็นการรักษาที่มีมายาวนาน ข้อดีก็คือสามารถผ่าตัดรักษาไทรอยด์ได้ทุกโรค ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นก้อนขนาดใหญ่มากกว่า 20 เซนติเมตร ก้อนยื่นลงไปในอก หรือมะเร็งไทรอยด์ที่มีการลุกลามไปยังหลอดลม หลอดอาหาร หรือต่อมน้ำเหลืองข้างลำคอ การผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิดก็สามารถตามไปกำจัดโรคออกได้หมด รวมถึงการผ่าตัดแบบเปิดไม่จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย ไม่ต้องผ่าตัดนาน ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในการผ่าตัดจะย่อมเยากว่าการผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องที่ต้องใช้กล้องช่วยผ่าตัด แต่สำหรับข้อเสียของการผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิดคือ จะทำให้มีแผลเป็นที่กลางลำคอ แม้ว่าปัจจุบันจะมียาในการช่วยทาลดรอยแผลเป็นแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีแผลอยู่ดี ซึ่งคนไข้โรคไทรอยด์ส่วนมาก จะเป็นคนไข้ผู้หญิงอายุ 15-45 ปี ที่ยังต้องการความสวยงามตรงลำคอ ไม่อยากให้มีแผลเป็น ทำให้มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตต่อไป
  • การผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องทางช่องปาก ถือว่าเป็นนวัตกรรมการผ่าตัดไทรอยด์แบบใหม่ที่ถูกพัฒนามาเพื่อปิดจุดอ่อนของการผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิด โดยที่การผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องจะทำได้หลายวิธี เช่น ทางรักแร้ หรือทางหลังหู แต่วิธีการผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องทางช่องปาก เป็นวิธีการผ่าตัดใหม่ที่สุด ที่สามารถซ่อนแผลเป็นไว้ภายในช่องปาก ทำให้คนไข้โดยเฉพาะคุณผู้หญิงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจหลังผ่าตัด ไม่ต้องมีคนเห็นรอยแผลเป็นไม่ว่าที่จุดไหนก็ตาม โดยการผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องนั้นมีข้อดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แผลผ่าตัดเป็นรูขนาดเล็ก ๆในช่องปาก ซึ่งประกอบไปด้วยแผล 1 เซนติเมตร 1 จุด และแผล 5 มิลลิเมตร 2 จุด โดยการที่มีแผลขนาดเล็ก ทำให้คนไข้เสียเลือดในการผ่าตัดน้อย เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้ไว ไปทำงานได้ไว สามารถทานข้าวและอาบน้ำได้ทันทีหลังการผ่าตัดไทรอยด์ รวมถึงการผ่าตัดส่องกล้องทางช่องปากยังมีข้อดีอีกมากมายเช่น กล้องจะช่วยขยายขนาดต่อมพาราไทรอยด์และเส้นประสาทเสียงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ลดโอกาสการเกิดภาวะแคลเซียมต่ำหลังการผ่าตัด และลดโอกาสการเกิดภาวะเสียงแหบหลังผ่าตัด และการผ่าตัดส่องกล้องไทรอยด์แบบส่องกล้องทางปาก ยังช่วยขยายต่อมน้ำเหลืองกลางลำคอให้เห็นได้ชัดเจน ทำให้สามารถที่จะผ่าตัดมะเร็งไทรอยด์ที่มีการแพร่กระจายลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองตรงกลางลำคอได้อย่างเกลี้ยงเกลา ผ่าตัดส่วนของมะเร็งออกได้หมดเหมือนกับการผ่าตัดไทรอยด์แบบเปิด เป็นต้น ทำให้การผ่าตัดส่องกล้องไทรอยด์ทางช่องปาก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แต่ว่าการผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องทางช่องปากก็จะมีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน คือ ไม่สามารถผ่าตัดไทรอยด์ได้ทุกขนาด โดยถ้าต่อมไทรอยด์หรือเนื้องอกมีขนาดใหญ่เกินไป ก็ไม่สามารถที่จะทำการผ่าตัดส่องกล้องได้ เพราะเวลาผ่าตัดจะทำให้หาเส้นเสียงและต่อมพาราไทรอยด์ได้ยากขึ้น ทำให้ลำบากต่อการผ่าตัด รวมถึงกรณีคนไข้เป็นมะเร็งไทรอยด์ที่มีการแพร่กระจายลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองด้านข้างลำคอ ก็ไม่สามารถใช้การผ่าตัดส่องกล้องตามไปเลาะต่อมน้ำเหลืองออกให้หมด ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการผ่าตัดไทรอยด์แบบส่องกล้องทางช่องปาก จำเป็นต้องทำการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะถือเป็นการผ่าตัดที่ยาก และต้องอาศัยประสบการณ์ในการผ่าตัดที่สูงนั่นเอง
  • การทำลายก้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟ เป็นนวัตกรรมการรักษาสำหรับเนื้องอกไทรอยด์ที่ใหม่ที่สุดที่นำมาใช้ในการรักษา โดยหมอต้องอธิบายถึงการรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟ หรือการใช้คลื่นความร้อนก่อนว่า ในปัจจุบันได้ใช้คลื่นไมโครเวฟในการรักษาคนไข้มะเร็งตับ และพบว่าได้ผลในการรักษาดี สามารถกำจัดโรคได้อย่างปลอดภัย เพราะฉะนั้นทางการแพทย์จึงได้นำเอาเทคโนโลยีการทำลายเนื้องอกมาใช้กับเนื้องอกไทรอยด์ โดยที่การใช้คลื่นไมโครเวฟ หลักการทำงานของมันคือ เราจะใส่เข็มขนาดเล็ก ๆเข้าไปที่ลำคอ ด้วยการใช้อัลตราซาวด์นำทางเพื่อจำเพาะเจาะจงไปที่ก้อนเนื้องอกนั้น ๆ และที่ปลายเข็มจะมีจุดปล่อยความร้อน โดยเราจะใช้ความร้อนสูงในการทำลายเซลล์ของเนื้องอกไทรอยด์ ทำให้เนื้องอกมีการเปลี่ยนสภาพไป หลังจากนั้นร่างกายเราจะรับรู้ว่าเศษเนื้องอกที่ถูกทำลายไปเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดการกำจัดเนื้องอกด้วยขบวนการจับกินของเม็ดเลือดขาวของเราเอง ทำให้ก้อนเนื้องอกมีขนาดที่เล็กลง ยุบลง โดยจะเล็กลง ประมาณ 70-80% ในระยะเวลา 6-8 เดือนหลังการยิงทำลายก้อน ซึ่งในต่างประเทศได้มีการนำคลื่นไมโครเวฟมาใช้รักษามะเร็งไทรอยด์เช่นเดียวกัน และพบว่าได้ผลการรักษาที่ดี แต่สำหรับส่วนตัวของหมอเองยังจำกัดการรักษาการทำลายก้อนเนื้องอกไทรอยด์ด้วยคลื่นไมโครเวฟสำหรับคนไข้ที่ไม่สงสัยมะเร็งไทรอยด์เท่านั้น เพราะยังอยากให้คนไข้มะเร็งไทรอยด์ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดไทรอยด์มากกว่า สำหรับข้อดีของการรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟที่เด่นชัดก็คือ การทำลายก้อนจะทำลายเฉพาะเจาะจงไปที่เนื้องอกไทรอยด์เท่านั้น โดยที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อปกติไทรอยด์ของเรา ทำให้เราไม่สูญเสียต่อมไทรอยด์ส่วนที่ดีไป ซึ่งจุดนี้จะต่างจากการผ่าตัดที่อย่างน้อยจำเป็นต้องตัดไทรอยด์ออกไปข้างหนึ่ง ทำให้การยิงคลื่นไมโครเวฟไม่ต้องทานยาตลอดชีวิต รวมถึงการใช้คลื่นไมโครเวฟยังช่วยปกป้องกลุ่มคนไข้ที่เป็นเนื้องอกธรรมดาให้ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดไทรอยด์ ลดโอกาสการเกิดภาวะเสียงแหบ หรือภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ สำหรับการยิงคลื่นไมโครเวฟจะใช้การฉีดยาชา ทำให้คนไข้ไม่ต้องพักฟื้นตัวนาน ไม่ต้องนอน รพ. กลับไปทำงานได้รวดเร็ว มีเพียงรูเข็มขนาด 1-2 มิลลิเมตรที่คอเท่านั้น แต่การรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟก็มีข้อจำกัดเช่นกัน คือ หลังจากที่เรายิงทำลายก้อน ในต่อมไทรอยด์เราจะยังเหลือซากของเนื้องอกอยู่ ทำให้มีโอกาสเกิดก้อนกลับมาใหม่ประมาณ 5% ซึ่งจุดนี้จะต่างจากการผ่าตัดที่เราจะตัดทั้งไทรอยด์และเนื้องอกออกไป ไม่มีโอกาสเกิดซ้ำอีก รวมถึงการยิงคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถยิงในคนไข้ที่เนื้องอกไทรอยด์ยื่นลงไปในช่องอกได้นั่นเอง สำหรับส่วนตัวหมอแล้วหมอถือว่ามีความเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะว่าภรรยาหมอมีเนื้องอกไทรอยด์ที่ไม่สงสัยมะเร็ง แต่ตอนนั้นยังไม่มีนวัตกรรมคลื่นไมโครเวฟ ทำให้ภรรยาต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง และเสียต่อมไทรอยด์ไปข้างหนึ่ง ถ้าในตอนนั้นมีคลื่นไมโครเวฟ หมอคงจะเลือกยิงเนื้องอกให้คุณภรรยามากกว่าครับ ซึ่งหมอคงสรุปให้ว่าการรักษาเนื้องอกไทรอยด์ในปัจจุบันนี้มีหลายวิธีให้คนไข้เลือกมากมาย ไม่ได้ทางเลือกน้อยเหมือนสมัยก่อน โดยที่คนไข้สามารถปรึกษากับคุณหมอที่เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละคนไข้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนไข้แต่ละท่าน